วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[Review] สุราษฎร์ธานี เมืองแห่งขุนเขาและสายน้ำ Part1 "จากหาดใหญ่ ถึง สุราษฎร์"

รีวิวย้อนหลังช่วงพาเด็กๆไปเที่ยวปิดเทอม ที่จ.สุราษฎร์ธานี วันที่ 9-11 พ.ค. 59
ทริปนี้เริ่มที่หาดใหญ่ เพราะหลานๆอยู่ที่หาดใหญ่ เรานั่งเครื่องจากกรุงเทพฯไปถึงหาดใหญ่ตอน 9 โมงเช้า อากาศกำลังดี ไม่มีฝนตก 
แม่ขับรถมารับที่สนามบิน ถึงปุ๊บไปหาของอร่อยกินก่อนเลย เหตุผลหลักที่มาลงเครื่องที่นี่แทนที่จะไปเจอกันที่สุราษฎร์ธานีคือขนมจีน
ร้านขนมจีนขนมจีนขุนศรีปากพนัง-หน้าวัดโคกสมานคุณ เจ้าประจำ ขายมาหลายปี อยู่ตรงข้ามวัดโคกสมานคุณ หาดใหญ่ใน หยุดทุกวันพุธ เปิดสายๆ ถึงประมาณ 4 โมงเย็น 
เทียบกับหลายๆร้านในหาดใหญ่ รสชาติของร้านนี้ค่อนข้างถูกปาก พักหลังๆ ความอร่อยลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าร้านอื่น มีน้ำยาให้เลือกครบแบบขนมจีนใต้คือ น้ำยากะทิ แกงไตปลา น้ำพริก และแกงเขียวหวานไก่ ผักสดและผักดองมีให้กินไม่อั้น โดยเฉพาะผักดอง ทำได้อร่อยและดูสะอาด  ราคาจานละ 25-30บ. 
กินเสร็จก็ออกเดินทางไปสุราษฎร์ธานีกัน ขับรถจากหาดใหญ่ไป 300 กว่ากิโล จังหวัดแรกที่ผ่านคือพัทลุง 
แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้าน "CC Steak ครัวคุณล้าน" สาขาในเมือง ร้านนี้เป็นอีกร้านกินบ่อย ตั้งแต่สมัยร้านยังอยู่ที่เก่า ราคาไม่แพงมาก รสชาติอร่อยใช้ได้ประมาณเดิม มื้อนี้สั่งอาหารจานเดียวมาคนละจาน กับส้มตำผลไม้ไว้กินเล่น
อิ่มแล้วก็ไปต่อ ผ่านแยกก่อนจะเข้าสายเอเชีย มีรูปปั้นโลมาอิรวดีกับนกน้ำทะเลน้อย สัญลักษณ์ของจ.พัทลุง
แล้วเราก็ขับรถผ่าน จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะเข้าสุราษฎร์ธานี
มาถึงสุราษฎ์ธานี ตอนบ่ายแก่ๆละ คืนนี้พักที่โรงแรมพารากอนโฮมเทล (Paragon Hometel) อยู่ใกล้ตัวเมืองสุราษฎร์ จองจาก booking.com ได้ส่วนลดสมาชิกเพิ่ม เหลือคืนละ 1,440 เป็นบ้านทั้งหลังมี 2 ห้อง นอนได้ 4 คนค่ะ ห้องกว้างมาก มีโต๊ะกินข้าวให้ด้วย เสียอย่างเดียวคือห้องที่เราพักลูกบิดห้องน้ำพัง
นั่งพักล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อย พอเย็นๆ ก็ออกไปเที่ยวที่ศาลหลักเมืองกัน อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 6 กิโลเมตร ขับรถไปไม่ถึง 10 นาที ถ้าเป็นกรุงเทพ อาจจะให้เวลาเป็นชั่วโมง 55+
นั่งพักนานไปหน่อย มาถึงก็มืดแล้ว
เดินข้่ามถนนไปฝั่งตรงข้างมีแม่น้ำตาปี? ทอดยาวสวยงามมาก กับสะพานไม่รู้ชื่ออะไร ถามเพื่อนที่เป็นคนสุราษฎร์บอกไม่มีชื่อ
วันนี้พระจันทร์เสี้ยวนิดๆ ขีดอยู่บนท้องฟ้า 
แล้วเราก็ขับรถไปกินข้าวที่ร้านตาปี ซีฟู้ด ตอนแรกจะไปอีกร้านแต่โทรไปถามแล้วไม่มีปูไข่ ร้านนี้มี เลยมาร้านนี้แทน ร้านอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดี แต่ยุงเยอะมากกกกกกกก นั่งกินไปตบยุงไป อาหารก็สดนะ แต่รสชาติไม่อร่อยเท่าไหร่ ราคาไม่แพง ยุงเยอะจนไม่ได้ถ่ายรูปอาหาร มือไม่ว่าง มัวแต่ตบยุง
สุดท้ายก็เอาปูใส่ถุงมาแทะต่อที่โรงแรม แชะรูปวิวจากโต๊ะอาหารมา 1 รูป 
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าไปที่ศาลหลักเมืองอีกรอบ กะจะไปถ่ายรูปแบบมีแสงซักหน่อย สรุปศาลยังไม่เปิด เปิด 7.00น. เลยต้องยกกล้องถ่ายผ่านรั้วเอา
ยามเช้าที่สะพานเดิม ตรงข้ามมีรถเข็นขายโจ๊กกระดูกหมู (หน้าตาเหมือนโจ๊กหมูปกติ แต่มีหม้อต้มกระดูกหมูมาใส่เพิ่มต่างหาก) อร่อยมากๆ เลย
หันหลังไปอีกด้านก็วิวแม่น้ำตาปี ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย ขนาดหน้าร้อน น้ำยังเยอะมาก
เราหิ้วโจ๊กกลับไปฝากเด็กๆ ที่โรงแรม แล้วประมาณ 8 โมงเช้า ก็ออกเดินทางไปที่บ.สุราษฎ์อินเตอร์ทัวร์ เพื่อจะไปพักที่แพ 500 ไร่ ขับรถจากตัวเมืองไปประมาณ 60 กิโลเมตร ไปถึงเกือบๆ 9 โมงเช้า ตามเวลานัดพอดี จอดรถทิ้งไว้ที่นี่แล้วจะมีรถตู้พาเราไปเที่ยวตามแพคเกจของแพ 500ไร่ 
ซื้อมาแบบ 3 วัน 2 คืน คนละ 3,500บ. พักที่แพ500ไร่ 1คืน ภูผาและลำธารรีสอร์ท 1คืน อาหาร 6 มื้อ รวมค่าล่องเรือชมเขื่อนรัชชประภา กับล่องเรือแคนู 
นั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง รถตู้ก็พาเราไปที่เขื่อนรัชชประภา ให้แวะถ่ายรูปตรงจุดชมวิว ประมาณ 15 นาที
แวะแค่แป๊บเดียวก็นั่งรถต่อไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเทศบาล ใกล้เขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อไปแพ 500 ไร่
เรือที่นั่งไปหน้าตาแบบนี้ มีหลังคากันแดดได้นิดโหน่ย ออกจากท่าเรือแล้วเค้าก็พาเราไปชมวิวสันเขิ่อนรัชชประภา ชมทะเลสาบเชี่ยวหลาน และแวะถ่ายภาพที่เขาสามเกลอก่อนเข้าที่พัก
เขาหัวกะโหลก แลนด์มาร์คอีกที่ของเขื่อน
ซูมหัวกะโหลกชัดๆ เหมือนปะ??
เขาสามเกลอ จุดที่เรือทุกลำต้องพามาจอดถ่ายรูป มาช่วงเช้าน่าจะดีกว่า เพราะตอนบ่ายจะถ่ายรูปแล้วย้อนแสง
มีศาลเจ้าของเขื่อนด้วย ตอนเรือผ่านต้องเบาเสียงลงหน่อย
อีกแป๊บเดียวก็จะถึงแพที่พักแล้ว ติดตามชมตอนต่อไปได้เลย
ตอนที่ 2 >> แพ 500 ไร่
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น